วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

บันทึกการเรียนครั้งที่ 16

บันทึกการเรียนครั้งที่ 16
วันพุธ  ที่ 25 เมษายน 2561
เนื้อหา
     นำเสนอคำคมผู้บริหาร


นำเสนอโมเดลโรงเรียน


ปิดคอร์สเรียน
การนำมาประยุกต์ใช้
        นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้กับการจัดการบริหารภายในโรงเรียนในอนาคต
การประเมิน
ประเมินตัวเอง  เข้าเรียนตรงต่อเวลาและเตรียมความพร้อมของงาน
ประเมินเพื่อน  เพื่อนๆมาเรียนกันตรงต่อเวลาและเตรียมความพร้อมอย่างดี
ประเมินอาจารย์ผู้สอน อาจารย์มีคำแนะนำที่ดี ทำให้มองเห็นข้อบกพร่องและสิ่งที่ควรแก้ไข

บันทึกการเรียนครั้งที่ 15

บันทึกการเรียนครั้งที่ 15
วันพุธ  ที่ 18 เมษายน 2561

เนื้อหา
-นำเสนอคำคมผู้บริหาร




การนำมาประยุกต์ใช้

   นำทักษะเหล่านี้ไปใช้ในทำงาน เพื่อพัฒนาตนเองให้เป็นคนที่มีประสิทธิภาพ

การประเมิน
ประเมินตัวเอง  เข้าเรียนตรงต่อเวลาและตั้งใจฟังอาจารย์สอน
ประเมินเพื่อน  เพื่อนๆมาเรียนกันตรงต่อเวลา
ประเมินอาจารย์ผู้สอน อาจารย์ให้คำแนะนำได้ดี

บันทึกการเรียนครั้งที่ 14


บันทึกการเรียนครั้งที่ 14

วันพุธ  ที่ 11 เมษายน 2561

หยุดวันสงกรานต์

บันทึกการเรียนครั้งที่ 13

บันทึกการเรียนครั้งที่ 13
วันพุธ  ที่ เมษายน 2561

อ้างอิงเนื้อหาจากเพื่อน เนื่องจากไม่ได้เข้าเรียนในวันนี้
เนื้อหา
-นำเสนอคำคมผู้บริหาร




กระบวนการนิเทศแบบกัลยาณมิตร
     ความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการด้านวิชาการในการปฏิรูปการเรียนรู้นั้น ทุกคน   ทุกฝ่ายนับเป็นองค์ประกอบสำคัญ การเป็นเพื่อนร่วมทางที่จะเดินไปด้วยกัน อย่างไว้ใจและเชื่อว่าจะชี้แนะช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ให้ก้าวไปในทางที่ถูกต้องด้วยน้ำใจมิใช่อำนาจ คือ หนทางแห่งกัลยาณมิตร นักวิชาการ
นิเทศ ได้กล่าวเกี่ยวกับการนิเทศที่คำนึงถึงฐานวัฒนธรรมไทยว่า
          - ความเป็นกัลยาณมิตรเป็นกุญแจทองที่จะไขเปิดประตูแห่งความเป็นมิตร
          - ความอ่อนน้อมถ่อมตน ยังเป็นคุณสมบัติที่คนไทยทุกคนยอมรับ
          - ความจริงใจเป็นเครื่องหล่อลื่นสัมพันธภาพ
          - ความมีน้ำใจ เป็นหยดทิพย์ที่ทำให้จิตใจชุ่มชื่นบาน
          - การใช้คำพูดที่สุภาพ จริงใจสม่ำเสมอเป็นเครื่องส่งเสริมความรู้สึกที่ดีต่อกัน
องค์ประกอบของกัลยาณมิตร
 1. ให้ใจ - การปฐมนิเทศสร้างความเข้าใจร่วมกัน
 2. ร่วมใจ - การร่วมคิด ร่วมทำงาน แลกเปลี่ยนรู้ซึ่งกันและกัน
 3. ตั้งใจ - เป็นการร่วมกันสร้างสรรค์คุณภาพในการทำงาน
        + มุ่งมั่นสู่เป้าหมายร่วมกัน
        + ช่วยกันแก้ปัญหา
        + ถือว่าผลงานคือคุณภาพของผู้เรียน
 4. เปิดใจ - การวัดและประเมินตนเอง ประเมินผลงาน
       + ประเมินผลการพัฒนาการอย่างเที่ยงตรง
       + ปราศจากอคติ
ปัจจัยเกื้อหนุน ๔ ประการ
          1. องค์ความรู้
          2. แรงหนุนจากต้นสังกัด
          3. ผู้บริหารทุกระดับ
          4. บุคลากรทั้งสถานศึกษา
บทบาทของผู้บริหารในการนิเทศ
-กระบวนกัลยาณมิตร เป็นการปฏิบัติจริงในสภาพที่เป็นจริง ผู้นิเทศกับผู้รับการนิเทศต้องมีการปรึกษาหารือ ติดต่อสื่อสาร เยี่ยมเยียน แลกเปลี่ยน
เรียนรู้ ช่วยแก้ปัญหาและให้กำลังใจกัน
- ถ้าจะเปรียบผู้นิเทศก็เป็นเหมือนครูฝึก ( coach ) ของผู้สอน ที่จะต้องโดดลงไปร่วมคิดร่วมทำ มิใช่เพียงร้องบอกให้ผู้สอนลองผิด ลองถูก ตาม
ยถากรรม อาจต้องบอกวิธีให้รู้ สาธิตให้ดุ และช่วยแก้ไขข้อบกพร่องที่พบ
การพบปะสนทนาเมื่อเวลานิเทศ ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ครู ศึกษานิเทศก์ กรรมการศึกษา ชุมชนรอบๆสถานศึกษา จะได้ทราบทุกข์ สุข และก่อให้
เกิดความเข้าใจในปัญหาพื้นฐาน เพื่อกำหนดจุดมุ่งหมายในการทำงานต่อไป
แนวทางการนิเทศ
    1. สร้างความสัมพันธ์ แจ้งภารกิจและความมุ่งหมาย จัดเวลา กำหนดวิธีการทำงาน
    2. จัดนิทรรศการทางวิชาการและสาธิตรูปแบบการสอน
    3. แลกเปลี่ยนเรียนรู้จากประสบการณ์จริง จัดบริการเอกสารทางวิชาการ
    4. วางแผนร่วมกัน เพื่อศึกษาดูงาน
    5. แนะให้ปฏิบัติตามสภาพจริง
    6. พบปะแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากผลการปฏิบัติ และหาทางแก้ไขปรับปรุง
    7. เข้าร่วมประชุม สัมมนา การฝึกอบรมตามโอกาส
    8. นำเสนอผลงานในการประชุมปฏิบัติการ
    9. วัดและประเมินผลงานกัลยาณมิตรนิทศ
สรุปประเด็นสำคัญ
      หลักการสำคัญ พึงตระหนักว่าการนิเทศนั้นมิใช่การสั่งการ ตรวจสอบ บังคับบัญชา มิใช่การนิเทศกระดาษ แต่เป็นการนิเทศคน กระดาษ เป็นแผนการสอน คะแนนผลสัมฤทธิ์ หรือโครงการ เป็นองค์ประกอบที่แสดงร่องรอยการเรียนรู้ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญที่สุด      ผู้นิเทศต้องนิเทศคน พูดคุยกับครู ดูพฤติกรรมของนักเรียน สังเกตบรรยากาศและความสัมพันธ์ในสังคมเรียนรู้นั้นเพื่อเข้าถึงสถานภาพและปัญหา นำไปสู่แนวทางการนิเทศที่ถูกต้อง

บันทึกการเรียนครั้งที่ 12

บันทึกการเรียนครั้งที่ 12
วันพุธ  ที่ 29 มีนาคม 2561
เนื้อหา
  ศึกษาดูงาน การบริหารสถานศึกษา ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา











ประวัติศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา
          สำนักงานอนามัยกรุงเทพมหานครได้จัดการอบรมอาสาสมัครสาธารณสุขประจำชุมชนวัดอมรทายิการามขึ้น หลังจากนั้นกลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขได้สำรวจปัญหาในชุมชนพบว่า มีปัญหา 2 ประการ คือ ปัญหายาเสพติด และปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพเด็ก กลุ่มอาสาสมัครสาธารณสุขจึงตัดสินใจเลือกแก้ปัญหาสุขภาพเด็ก โดยจัดตั้ง ศูนย์รับเลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาโดยขอความอนุเคราะห์เรื่องสถานที่จากท่านพระครูวิบูลธรรมภาณ เจ้าอาวาสวัดอมรทายิการาม  เริ่มแรกท่านให้ใช้กุฏิเก่าของท่าน มีจำนวนเด็ก 40-50 คน มีอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก 4 คน ต่อมากุฏิเก่าเริ่มชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถซ่อมแซมได้ ท่านเจ้าอาวาสจึงอนุญาตให้สร้างอาคารหลังใหม่ เป็นอาคารชั้นเดียว
             โดยมีคณะสงฆ์ ครูและผู้ปกครองร่วมกันก่อสร้าง ได้รับการสนับสนุนทุนสร้าง จากสำนักงานเขตบางกอกน้อย ผู้ปกครองนักเรียน คณะครู และได้เปลี่ยนชื่อเป็น ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาเปิดเป็นทางการเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2527
ในปี พ.ศ.2530 ได้เปิดอย่างเป็นทางการ สภาสตรีแห่งชาติและสภาสังคมสงเคราะห์ได้ส่งอาสาสมัครเข้ารับการอบรมเสริมทักษะด้านการเลี้ยงดูเด็ก และอาหารเสริม  ต่อมา ได้เข้าสังกัด กองสังคมสงเคราะห์ กรุงเทพมหานคร ได้รับค่าตอบแทนวันละ 40 บาท อาสาสมัครจำนวน 4 คน ในปี พ.ศ.2536 กองพัฒนาชุมชนได้รับช่วงต่อมา  ให้การสนับสนุนโดยขึ้นค่าตอบแทน 80 บาทต่อวัน  ทำงานและส่งเสริมพัฒนาอาสาสมัครผู้ดูแลเด็ก ในเรื่องการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เด็กแรกเริ่มอาสาสมัครผู้ดูแลเด็กมีวุฒิการศึกษา ปวช., ม.6, ม.3 เข้ามาทำงานด้วยใจรักเด็ก ไม่หวังค่าตอบแทน  ต่อมาได้ศึกษาต่อด้วยทุนตนเอง จนจบอนุปริญญา และปริญญาตรีเป็นการศึกษาเพื่อพัฒนาตนเองและนำความรู้ใหม่ ๆ มาสอนเด็ก ส่วนพวกไม่มีทุนเรียนจะได้รับการอบรมในองค์กรต่างๆ  จากนั้นสำนักพัฒนาสังคม กรุงเทพมหานคร ได้สนับสนุนค่าตอบแทน เพิ่มเป็น 5,640 บาทและทำประกันสังคมให้
            ปัจจุบันมีนักเรียนอายุ  2 – 6 ปี  จำนวน 400-500 คน มีอาสาสมัครดูแลเด็กจำนวน  35 คน ได้สร้างอาคารเรียนเพิ่มเป็นอาคารเรียนเป็น 3 ชั้น  และใช้หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย 2546  จัดกิจกรรมให้นักเรียนได้มีพัฒนาการครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านสภาพแวดล้อมให้เจริญตามลำดับมีอาสาสมัครชาวต่างชาติจาก หน่วยงาน Cross-Cultural Solutions (CCS) องค์กรอาสาสมัครนานาชาติ จดทะเบียนที่กรุงนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้จัดส่งอาสาสมัครชาวต่างชาติมาช่วยสอนภาษาอังกฤษ ทำให้ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษาเป็นที่รู้จักและทำให้เป็นที่ยอมรับของผู้ปกครอง
การจัดการเรีียนการสอน
         ศูนย์พัฒนาเด็กก่อนวัยเรียนพิทักษา มีความมุ่งมั่นปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม  พัฒนาความพร้อมในด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคมและสติปัญญาของเด็กให้เหมาะสมตามวัย  ฝึกให้เด็กสามารถคิด วิเคราะห์แก้ปัญหา และกล้ายอมรับผิดได้อย่างเหมาะสมตามวัย โดยผ่านบทบาทสมมุติ อีกทั้งอยู่ในสังคมอย่างมีความสุขผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่เด็กได้ลงมือทำด้วยตนเองมีครูเป็นผู้คอยช่วยเหลือให้คำแนะนำ โดยแบ่งนักเรียนเป็น ระดับชั้น ดังนี้
ระดับเตรียมพร้อม
         นักเรียนสามารถช่วยเหลือตนเองเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน สามารถสื่อความหมายสั้นๆ ง่ายๆ และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
ระดับอนุบาล 1
          พัฒนาความพร้อมทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคมและสติปัญญาตามวัย พัฒนาความพร้อมของกล้ามเนื้อเล็กและกล้ามเนื้อใหญ่ ประสานสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา สร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม การช่วยเหลือตนเอง
ระดับอนุบาล 2
          เสริมสร้างระเบียบวินัยการอยู่ร่วมกันในสังคม กิริยามารยาทที่ดีงาม การช่วยเหลือตนเอง และเตรียมความพร้อมด้านวิชาการ
ระดับอนุบาล 3
          ปลูกฝังความเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมอันดีงาม ส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวิชาการเพื่อพร้อมเข้าเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1

การนำมาประยุกต์ใช้
   นำการจัดการเรียนการสอนภายในโรงเรียนไปปรับใช้กับการจัดการเรียนการสอนของตนเอง

การประเมิน
ประเมินตัวเอง  ไปตรงเวลาตามนัดหมายและมีการถามคำถามในสิ่งที่อยากรู้
ประเมินเพื่อน  เพื่อนๆมาตรงเวลาและให้ความสนใจกับโรงเรียน
ประเมินอาจารย์ผู้สอน อาจารย์มาตรงเวลาและให้คำแนะนำที่เกี่ยวกับโรงเรียนได้ดี

บันทึกการเรียนครั้งที่ 11

บันทึกการเรียนครั้งที่ 11
วันพุธ  ที่ 28 มีนาคม 2561
เนื้อหา
-นำเสนอคำคมผู้บริหาร





      นำเสนอผู้บริหารโรงเรียน



         การบริหารงานของโรงเรียนแต่ละที่จะมีความแตกต่างกันตามขนาดของโรงเรียน

การนำมาประยุกต์ใช้
   นำความรู้ที่ได้จากคำตอบของผู้บรหารมาปรับใช้กับการทำงานของตนเอง และโรงเรียน

การประเมิน
ประเมินตัวเอง  เข้าเรียนตรงต่อเวลา แต่งกายเรียบร้อย และเตรียมการนำเสนออย่างดี
ประเมินเพื่อน  เพื่อนๆมาเรียนกันตรงต่อเวลาและมีการเตรียมตัวนำเสนออย่างดี
ประเมินอาจารย์ผู้สอน อาจารย์ให้คำแนะนำดี ทำให้เห็นความแตกต่างของแต่ละโรงเรียน

บันทึกการเรียนครั้งที่ 10

บันทึกการเรียนครั้งที่ 10
วันพุธ  ที่ 21 มีนาคม 2561
เนื้อหา
-นำเสนอคำคมผู้บริหาร





เทคนิคการเสริมสร้างบุคลิกภาพที่ดีสำหรับการเป็นผู้บริหาร


ความหมายของบุคลิกภาพ
     ลักษณะทั้งภายนอกและภายในที่รวมอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่งและเป็นผลทำให้บุคคลนั้น มีความแตกต่างไปจากบุคคลอื่นๆ บุคลิกภาพแบ่งออกเป็น 2 สภาพ ด้วยกันคือ
        บุคลิกภาพภายนอก สามารถสังเกตเห็นหรือสัมผัสได้ด้วยประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงได้โดยการฝึกเลียนแบบ และสามารถวัดผลได้ทันที บุคลิกภาพภายนอกที่สำคัญที่สุด คือ บุคลิกภาพทางกายและวาจา
        บุคลิกภาพภายใน หมายถึง บุคลิกภาพที่ไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจน เป็นส่วนที่สัมผัสได้ค่อนข้างยากและต้องใช้เวลาในการสัมผัส
ประเภทของบุคลิกภาพ
   บุคลิกภาพภายนอก  คือ  สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนจากภายนอกของแต่ละคนสามารถที่จะปรับปรุงแก้ไขได้ง่าย ใช้เวลาไม่นาน แบ่งได้เป็น 4 หมวด คือ
            1.  รูปร่างหน้าตา
            2.  การแต่งกาย
            3.  กิริยาท่าทาง
            4.  การพูด
  บุคลิกภาพภายใน  คือ สิ่งที่อยู่ภายในจิตใจ หรืออุปนิสัยใจคอที่มองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้  แก้ไขได้ยาก  เช่น
             1. ความเชื่อมั่นในตนเอง              2. ความกระตือรือร้น
             3. ความรอบรู้                        4. ความคิดริเริ่ม
             5. ความจริงใจ                        6. ไหวพริบปฏิภาณ
             7. ความรับผิดชอบ                    8. ความจำ
             9. อารมณ์ขัน
    ในแต่ละครั้งที่เราต้องพบเจอผู้คนในองค์กรหรือนอกองค์กร การสนทนา การแสดงความคิดเห็น หรือการพูดให้ความรู้ การนำเสนองานต่างๆ นั้น ควรประกอบด้วย 3 ส่วน คือ เนื้อหาสาระของคำพูด 7% น้ำเสียง 38% กิริยาท่าทาง (บุคลิกภาพ) 55%
        1.การใช้สายตา การมอง การสบสายตาขณะพูด  
        2.การแต่งกาย  
        3.ภาษาพูด จังหวะการพูด ระดับเสียง  
        4.การเดิน / การนั่ง  
        5.การแสดงออกและท่าทาง การไหว้ การรับไหว้
        6.ความสะอาด
        7.สุขภาพต้องดี คนป่วยคงไม่มีใครอยากเข้าใกล้
สาเหตุที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพ คือความท้อถอย
         บุคลิกภาพที่ไม่สร้างสรรค์และอยู่ภายในตัวตนแล้วทำให้ความเป็นคนๆ นั้นไม่สมบูรณ์ ได้แก่ความท้อถอยแม้ว่าเป็นประโยคสั้นๆ แต่ถ้าอาการนี้ถ้าเกิดขึ้นกับใครแล้ว อาการนี้จะเข้ามาทำลายความสมดุลในตัวเรา เข้ามาแทรกในความรู้สึกนึกคิดทำให้พลังและศักยภาพของเราลดน้อยลงกว่าครึ่ง ในเรื่องความท้อถอยมักเกิดขึ้นกับบุคคลที่อยู่ในช่วงอายุ 20-40 ปี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลในช่วงอายุอื่นจะไม่มีความท้อ บางท่านอาจเกิดอาการท้อเป็นช่วงๆ บางท่านโชคดีไม่รู้จักความท้อ
ความท้อถอยสามารถสังเกตได้จากอาการ 3 ลักษณะ คือ
         1. ลักษณะของความท้อถอยทางด้านอารมณ์ หรือ ความอ่อนล้าทางอารมณ์ ได้แก่ความรู้สึกเบื่อหน่าย ความอ่อนล้า หมดเรี่ยวหมดแรง เกิดความเครียด ความคับข้องใจ ไม่สบอารมณ์  
         2. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากสัมพันธภาพกับบุคคลอื่น ได้แก่ ลักษณะของบุคคลที่ไม่สนใจในพฤติกรรมของใครๆ ไม่ยินดียินร้าย ใครจะทักก็ช่าง ใครไม่ทักก็ช่าง ไม่ใส่ใจพฤติกรรมของคนอื่น มีเจตคติและแนวคิดที่ไม่ดีต่อคนอื่น มองคนอื่นในแง่ร้าย 
         3. ลักษณะของความท้อถอยที่เกิดจากการไม่ประสบความสำเร็จในการทำงานของคนบางท่านอาจจะรู้สึกเองว่าตนเองไร้ความสามารถ การทำงานล้มเหลว งานไม่สมกับที่ตั้งใจไว้ บุคคลกลุ่มนี้จะมองคุณค่าของตนเองต่ำ
สาเหตุของความท้อถอย
      ด้านบุคลิกภาพ บุคลิกภาพที่พึ่งพาคนอื่น บุคลิกภาพที่ขาดความอดทน ขาดความอดกลั้น  บุคลิกภาพที่เชื่อมั่นตนเองสูง บุคลิกภาพที่มีความรับรู้ตนเองต่ำ จิตใจไม่มั่นคง ไม่มั่นใจในทุกเรื่อง 
      ด้านอายุ บุคคลที่มีอายุน้อย ความท้อถอย มีมากกว่าบุคคลที่สูงอายุ ทั้งนี้เพราะความท้อถอยมีความสัมพันธ์กับประสบการณ์ วุฒิภาวะ การรู้จักชีวิตมากขึ้น 
      ด้านสถานภาพการสมรส ความท้อมักเกิดกับคนโสดมากกว่าคนสมรสแล้ว ความท้อยังสัมพันธ์กับความเหงา คนโสดทั้งหญิงและชาย ถ้าเกิดอาการท้อถอย บุคคลในกลุ่มนี่จะเกิดอาการนานและค่อนข้างรุนแรง 
      ด้านการปฏิบัติงานในความรับผิดชอบ เริ่มตั้งแต่สองปีแรกของการทำงานบุคคลจะเกิดความท้อได้ง่าย ยิ่งปฏิบัติงานแบบไม่มีใครช่วยใคร บุคคลยิ่งเกิดอาการท้อมากขึ้น 
แนวทางและวิธีการในการแก้ไขอาการท้อถอย
         1. ทุกสิ่งทุกอย่างต้องแก้ไขที่ตัวเราเองเท่านั้น 
        2. อย่าเป็นคนตั้งความหวัง ความปรารถนาที่สูงสุดเอื้อม 
        3. สร้างเจคติเรื่องงานใหม่ให้ท่านคิดว่า 
                       “งานคือชีวิต ชีวิตคืองานบันดาลสุขทำงานให้สนุกเป็นสุขเมื่อทำงาน
        4. มองหาจุดมุ่งหมายในชีวิตใหม่
หลักและวิธีเสริมสร้างบุคลิกภาพ
     การยืน เดิน นั่งเป็นส่วนสำคัญที่บอกถึงบุคลิกภาพของแต่ละบุคคลอิริยาบถคือการเดิน ยืน นั่ง เปิด-ปิดประตู ขึ้นลงรถ อย่างถูกต้องสวยงาม
      การรู้จักทำตัวให้เข้ากับบุคคล สถานที่ และเวลา อย่างถูกต้องถือว่ามีมารยาททางสังคมที่ดี เช่น การรู้จักกราบไหว้ที่ถูกวิธี และถูกกาลเทศะ การรู้จักธรรมเนียมของชาวต่างชาติ การปฏิบัติตนในงานเลี้ยงต่างๆการไปเยี่ยมคนป่วยการมอบดอกไม้แสดงความยินดีหรือให้ผู้อาวุโส เป็นต้น
    บางครั้งเราอาจจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ทันได้เตรียมตัวเตรียมใจ และอาจเกิดอะไรขึ้นกับเราได้ทุกวินาทีนั้น เราต้องพร้อมเสมอที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ในลักษณะที่พร้อม คือไม่ตกใจ ดีใจ เสียใจ กลัว เกินกว่าเหตุ สามารถควบคุมท่าทางของตนเองได้เป็นอย่างดี
แนวทางในการพัฒนาบุคลิกภาพ
การรักษาสุขภาพอนามัย
      -  ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
      -  รับประทานอาหารที่มีประโยชน์
      -  ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เพิ่มหรือลดผิดปกติ
      -  ละเว้นการสูบบุหรี่หรือยาเสพติดให้โทษทุกชนิด
      -  ไม่ดื่มสิ่งของที่มีแอลกอฮอล์หรือคาเฟอีน
      -  พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ วันละ 7-8 ชม.
      -  รักษาอารมณ์ให้สดชื่นแจ่มใสอยู่เสมอ
การดูแลร่างกาย
    -  รักษาความสะอาดในช่องปากและฟัน
    -  ดูแลรักษาเส้นผมและทรงผมให้เรียบร้อยทั้งด้านความสะอาดและรูปทรง
    -  โกนหนวดเคราให้เกลี้ยงเกลา ตัดและขริบให้เรียบร้อย
    -  รักษาผิวพรรณให้สะอาดสดชื่นอยู่เสมอ อย่าให้ผิวแห้งกร้าน
    -  รักษากลิ่นตัว 
    -  รู้จักการแต่งหน้าแต่พองาม
    -  ดูแลเล็บมือ เล็บเท้า ให้สะอาดอยู่เสมอ
    -  ปรับเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในที่สวมใส่ทุกวัน
    -  ควรมีการเช็คร่างกายเป็นประจำทุกปี
    -  เมื่อร่างกายมีอาการผิดปกติรีบไปปรึกษาแพทย์
การแต่งกาย
     -  สวมใส่เสื้อผ้าที่สะอาด ซักรีดให้เรียบ
     -  สีสันไม่ฉูดฉาดควรเลือกสีให้เหมาะสมกับรูปร่างและผิวพรรณของตนเอง
     -  กระเป๋าถือและรองเท้า ควรใช้หนังที่มีคุณภาพดี สีเรียบ สำรวจส้นรองเท้าจัดการซ่อมแซมให้เรียบร้อย
     -  แต่งหน้าให้แนบเนียน ไม่แต่งเข้มผิดธรรมชาติ เลือกใช้เครื่องสำอางที่มีคุณภาพดี
     -  เล็บและการทาเล็บ ไม่ควรไว้เล็บยาวจนเกินไป ควรเลือกสีกลาง ๆอย่าปล่อยให้สีถลอกจะไม่น่าดู
     -  ผม หมั่นสระให้สะอาด  อย่างน้อยสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง  แปรงหวีให้เรียบร้อย เลือกทรงผมที่รับกับใบหน้า
     -  เครื่องประดับ ควรใช้เพื่อเสริมการแต่งกายให้ดูดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้เครื่องประดับมากจนเกินไปจนดูสะดุดตารกรุงรังไปหมด
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับสภาพภูมิศาสตร์และวัฒนธรรม
     -  ควรแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะ
อารมณ์
        รู้จักควบคุมอารมณ์ ไม่ปล่อยอารมณ์ไปตามใจตนเอง  คนที่ควบคุมอารมณ์ตนเองได้จะได้เปรียบและจะเอาชนะเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นได้  ในการปฏิบัติงานเป็นเรื่องธรรมดาที่จะต้องมีเหตุการณ์มากระทบกระเทือนอารมณ์กันอยู่เสมอ ฉะนั้น บุคคลใดที่ต้องการจะพัฒนาบุคลิกภาพของตนให้ดีขึ้นจะต้องเป็นคนรู้จักอดทนใจเย็นเมื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่ถูกใจเกิดขึ้น
ความเชื่อมั่นในตนเอง
      -  ยอมรับในความสามารถของตนเอง
      -  อย่าเล็งผลเลิศในการทำงานจนเกินไป
      -  อย่าถือคติว่าการทำงานสิ่งใดเมื่อทำแล้วต้องดีที่สุด
      -  อย่านำความเก่งของผู้อื่นมาทับถมตนเอง
      -  หมั่นฝึกจิตใจตนเองให้ชนะความกลัวให้ได้

การนำมาประยุกต์ใช้

   นำเทคนิคการปรับบุคลิกภาพไปใช้กับตนเอง เมื่อต้องไปทำงานและไปอยู่ร่วมกับผู้อื่น

การประเมิน
ประเมินตัวเอง  เข้าเรียนตรงต่อเวลาและตั้งใจฟังอาจารย์สอน
ประเมินเพื่อน  เพื่อนๆมาเรียนกันตรงต่อเวลาและตอบคำถาม
ประเมินอาจารย์ผู้สอน อาจารย์มีเอกสารประกอบการเรียนและแนะนำได้ดี